Celeste เกมแพลตฟอร์มปีนเขาเอาชนะใจตัวเอง

Browse By

ถ้าพูดถึงเกมอินดี้ที่ทำให้คนเล่น “หัวร้อนสุด ๆ แต่พอผ่านได้ก็นั่งยิ้มทั้งน้ำตา” ชื่อของ Celeste เกมแพลตฟอร์มปีนเขาเอาชนะใจตัวเอง ต้องโผล่ขึ้นมาแบบหลีกไม่พ้น นี่ไม่ใช่แค่เกมกระโดดหลบหนามธรรมดา แต่มันคือการปีนภูเขาที่ชื่อว่า “ความไม่มั่นใจในตัวเอง ความกลัว และเสียงด่าในหัว” ไปพร้อมกัน แถมยังห่อด้วยเพลงเพราะ ภาพพิกเซลโคตรอบอุ่น และบทสนทนาที่แทงใจแบบเบา ๆ แต่ตรงมาก

ระหว่างที่เราไต่เขาแบบตายเป็นร้อยรอบในด่านเดียว มือเหงื่อแตก สมองคิดแผนจังหวะกระโดด–ดาช บางคนก็พักสายตาจากภูเขาพิกเซลแสนโหดไปเปลี่ยนอารมณ์ลุ้นอย่างอื่น เช่น ดูบอล ดูกีฬา หรือแวะไปเช็กอะไรสนุก ๆ บนโลกจริงผ่านเว็บที่คุ้นเคยอย่าง ทางเข้า UFABET ล่าสุด สลับจากการลุ้น “จะผ่านด่านไหม” มาลุ้น “คืนนี้ทีมไหนจะเข้าเป้า” แทน แต่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ถ้าใจลอย ไม่โฟกัส ไม่รู้ลิมิตตัวเอง…ทั้งในเกมและนอกเกมก็มีสิทธิ์ตกเหวได้เหมือนกัน 😅


Celeste คือเกมแบบไหน ทำไมคนถึงรักกันนัก

อธิบายแบบง่าย ๆ ก่อนเลย:

Celeste คือเกมแพลตฟอร์ม 2D อินดี้ ที่เรารับบทเป็น “มาดลีน” (Madeline) สาวน้อยที่ตัดสินใจจะปีนภูเขา Celeste เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างกับตัวเอง โดยเกมใช้ “ภูเขา” เป็นสัญลักษณ์ของปัญหาภายในใจเรา

จุดเด่นของเกมคือ

  • การบังคับง่ายมาก แต่โคตรละเอียด
    • กระโดด (Jump)
    • ดาชกลางอากาศ (Dash)
    • เกาะ/ปีนกำแพง (Climb)
  • ด่านออกแบบมาคมมาก ตายได้เป็นร้อย แต่ทุกครั้งจะรู้สึกว่า “เราผิดเอง” ไม่ใช่เกมโกง
  • เล่าเรื่องสุขภาพจิต ความวิตกกังวล ซึมเศร้า ความกดดันตัวเอง แบบเข้าถึงง่าย ไม่สั่งสอน ไม่ดราม่าขายขี้หน้า
  • เพลงประกอบเพราะจนเปิดฟังเฉย ๆ ยังได้
  • มีโหมดช่วยเหลือ (Assist Mode) สำหรับคนที่อยากเสพเนื้อเรื่องแต่ไม่ไหวกับความยาก

Celeste เลยกลายเป็นเกมที่ใครได้ลองแล้วมักจะบอกว่า “มันไม่ได้แค่สนุก แต่มันโคตรเข้าใจเรา”


เนื้อเรื่อง: การปีนเขาที่จริง ๆ คือการปีนใจตัวเอง

ตัวเอกของ Celeste เกมแพลตฟอร์มปีนเขาเอาชนะใจตัวเอง คือมาดลีน สาวที่ตัดสินใจจะปีนภูเขา Celeste โดยไม่อธิบายชัด ๆ ว่าทำไม แต่เราพอเดาได้ว่า

  • เธออยากพิสูจน์ว่าตัวเอง “ทำได้สักอย่าง”
  • เธอหนีจากเสียงในหัวที่ชอบบอกว่า “แกไม่ดีพอหรอก”
  • เธอพยายามจะก้าวผ่านความวิตกกังวลและอดีตที่ตามหลอกหลอน

ระหว่างทางเราจะเจอตัวละครอื่น ๆ เช่น

  • Theo หนุ่มสายถ่ายรูปที่เหมือนเป็นเพื่อนคุยของมาดลีน คอยโยนมุมมองใหม่ ๆ แบบคนสบาย ๆ
  • คุณป้าแก่บนภูเขา ที่หัวเราะแห้ง ๆ แต่พูดแทงใจในหลายจังหวะ
  • อีกด้านหนึ่งของมาดลีน (Badeline) เวอร์ชันมืด/ด้านแย่ของเธอเอง ที่เกมทำให้กลายเป็นตัวละครจริง ๆ ไล่ตาม–ขัดขวางเรา

ภูเขาที่ดูเป็น “ฉากหลัง” เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของ

  • ความกลัว
  • ความรู้สึกไม่ดีพอ
  • ความล้มเหลวในอดีต
  • เสียงในหัวที่คอยด่าเรา

การปีนไปเรื่อย ๆ ไม่ได้มีแค่ความยากทางเกมเพลย์ แต่คือการนั่งดูมาดลีนค่อย ๆ อีกขั้นกับตัวเองไปพร้อม ๆ กัน


เกมเพลย์: 3 ปุ่มที่เอาเราเละได้เป็นชั่วโมง

พื้นฐานของ Celeste ง่ายมาก

  • เดินซ้าย–ขวา
  • กระโดด
  • ดาช 1 ครั้งในอากาศ (8 ทิศทาง)
  • เกาะกำแพง + ปีน (แต่มีเกจความเหนื่อย ถ้าเกาะนานเกินจะร่วง)

ฟังดูง่าย แต่ความโหดคือ “การเอาปุ่มพื้นฐานไปออกแบบด่าน”

  • หนามเต็มพื้น
  • แพลตฟอร์มขยับไปมา
  • บล็อกที่พุ่งตัวตามเรา
  • ลมที่พัดแรงจนกระโดดพลาด
  • บล็อกหาย–โผล่ตามจังหวะ

ทุกหน้าจอ (Screen) คือปริศนาเล็ก ๆ ว่า

“เราจะใช้กระโดด + ดาช + ปีน แบบไหน เพื่อไปถึงอีกฝั่งโดยไม่โดนอะไรทิ่มมั่ง?”

เราเลยจะตายบ่อยมาก แต่เกมออกแบบให้

  • ตายแล้วเกิดใหม่แทบจะทันทีที่ต้นห้อง
  • ไม่มีโหลดนานให้หงุดหงิด
  • ทุกครั้งที่ผ่านห้องยาก ๆ ได้ จะมีความรู้สึกว่า “โอเค ฝีมือเราเก่งขึ้นจริง ๆ นะ ไม่ใช่ดวง”

ตารางสรุประบบหลักใน Celeste

ระบบหลักรายละเอียดเสน่ห์/ผลกระทบต่อคนเล่น
การดาช (Dash)ดาชได้ 1 ครั้งในอากาศ (8 ทิศ) ต่อการแตะพื้นเป็นหัวใจของจังหวะเกม ตัดสินความพังหรือเทพ
การปีน (Climb)เกาะกำแพงได้ แต่มีเกจความเหนื่อยบังคับให้คิดเรื่องจังหวะ ห้ามแช่เกาะยาว ๆ
เลย์เอาต์ด่านห้องเล็ก ๆ ต่อกันเป็น Chapterทำให้แต่ละห้องรู้สึกเป็น “ปริศนา” ที่แก้ได้จริง
สตรอว์เบอร์รี่เก็บได้ผลไม้เสริมความท้าทายตามทางไม่บังคับเก็บ แต่เป็นคอนเทนต์ให้สายโหด
Assist Modeปรับความเร็วเกม/จำนวนดาช/อมตะ ฯลฯทำให้ทุกคนเข้าถึงเนื้อเรื่องได้ ไม่ติดที่ความยาก
B-Side / C-Sideด่านเวอร์ชันยากบ้าคลั่งสำหรับคนที่ผ่านเนื้อเรื่องแล้วแต่ยังอยากทรมานตัวเองต่อ

ความยากที่ยุติธรรม (แต่ก็ยังโหดอยู่ดีแหละ)

สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่ยอมรับ Celeste คือ “มันยาก แต่ยุติธรรม”

  • การควบคุมตอบสนองดีมาก
  • ถ้าตาย 99% คือเพราะเรากดพลาดเอง
  • พอผ่านได้แล้วมองย้อนกลับไป จะรู้สึกว่า “จริง ๆ มันแฟร์ตั้งแต่แรก แต่เราเองที่ยังไม่เก็ตจังหวะ”

ต่างจากบางเกมที่รู้สึกว่าศัตรูโกงหรือระบบไม่แฟร์ Celeste เหมือนครูโหดคนหนึ่งที่ไม่โอ๋เรา แต่ก็ไม่เคยแกล้งเรา มันแค่ให้โจทย์ยาก ๆ มา แล้วบอกว่า

“ลองใหม่สิ แกทำได้แหละ เชื่อเรา”

ทุกครั้งที่ผ่านห้องที่ยากมานานได้ จะเหมือนยกภูเขาออกจากอก (สมชื่อเกม) แล้วคนเล่นจำนวนมากก็เอาโมเมนต์นั้นไปเทียบกับเรื่องในชีวิตจริงของตัวเองแบบอัตโนมัติ


ธีมสุขภาพจิตและการคุยกับ “ด้านมืดในหัวตัวเอง”

สิ่งที่ทำให้ Celeste ไปไกลกว่าเกมแพลตฟอร์มทั่วไป คือการเล่าเรื่องสุขภาพจิตแบบตรงและอ่อนโยน

  • มาดลีนมีความวิตกกังวลสูง
  • เธอมี “ฉาก Panic Attack” ที่เกมจำลองให้เราเห็นเป็นภาพและกลไกเล็ก ๆ
  • ตัวละครอื่นบางคนก็มีภาระและความกลัวของตัวเอง

ตัวละคร “อีกด้านหนึ่งของมาดลีน” เป็นตัวแทนของ

  • ความคิดลบ
  • ความกลัว
  • เสียงที่บอกว่า “หยุดเถอะ แกไม่มีทางทำได้หรอก”

เกมไม่ได้บอกให้เราฆ่าด้านมืดนี้ทิ้ง แต่พยายามพาเราไปสู่การ

  • ยอมรับว่ามันคือส่วนหนึ่งของเรา
  • หาวิธี “อยู่ร่วม” กับมัน
  • ใช้มันให้เป็นพลังผลักดันแทนที่จะเป็นเชือกมัดตัวเอง

เหมือนเกมกำลังกระซิบว่า

“เราไม่ต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบถึงจะไปต่อได้ แค่ยอมรับว่าเรามีส่วนที่กลัว และยังเดินต่อทั้งที่กลัว…แค่นั้นก็ยิ่งใหญ่มากแล้ว”


ดนตรีและงานภาพ: พิกเซลเล็ก ๆ ที่อัดอารมณ์ไว้แน่น

ภาพของ Celeste เป็นพิกเซลอาร์ต 2D ที่ดูเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ

  • สีโทนภูเขาหิมะ ทะเลหมอก เมืองเก่า ซากสิ่งก่อสร้าง ล้วนมีคาแรกเตอร์
  • แอนิเมชันเล็ก ๆ ของมาดลีนตอนหอบ เหนื่อย หรือยิ้ม ทำให้รู้สึกว่าเธอ “มีชีวิต”

ส่วนดนตรีคืออีกครึ่งหัวใจของเกม

  • เพลงเงียบ ๆ ตอนเดินลุยหิมะ
  • เพลงกดดันแต่มีความหวังตอนปีนฉากยาก ๆ
  • ท่อนเปียโนบางช่วงที่ทำให้เราอยากหยุดแล้วหายใจลึก ๆ

หลายคนเล่นจบแล้วยังวนกลับไปฟัง OST ต่อ เพราะมันผูกกับโมเมนต์ในเกมจนกลายเป็น “เพลย์ลิสต์เยียวยา” ส่วนตัวได้เลย


Celeste กับ “ความลุ้นทุกจังหวะ”

แม้จะเป็นเกมแพลตฟอร์ม แต่แกนหลักของ Celeste คือ “การลุ้นจังหวะสั้น ๆ แต่เข้มข้นมาก”

  • ลุ้นว่ากดดาชถูกจังหวะไหม
  • ลุ้นว่ากะมุมถูกหรือเปล่า
  • ลุ้นว่าพยายามรอบนี้จะข้ามไปอีกฝั่งได้ไหม

มันเหมือนเรากำลังเดิมพันกับ “ทักษะของตัวเอง” ทีละวินาที

ฟีลนี้ไม่ต่างกับตอนคนเราลองลุ้นอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตจริง

  • ลุ้นว่าทีมที่เชียร์จะยิงช่วงทดเวลาบาดเจ็บไหม
  • ลุ้นว่าคืนนี้สถิติที่วิเคราะห์มาจะออกตามที่คิดไหม
  • หรือเดินเข้าไปดูหน้าเว็บที่คุ้นเคยอย่าง สมัคร UFABET เพื่อดูราคาและโปรแกรมแข่ง แล้วตัดสินใจว่าจะลุ้นประมาณไหนถึงจะยังสนุก ไม่เครียด

ทั้งใน Celeste และในโลกจริง เราเลยได้เรียนบทเรียนเดียวกันคือ

  • ถ้าสติหลุด จังหวะเพี้ยน ทุกอย่างพังเร็วมาก
  • ถ้ารู้ลิมิตตัวเอง รู้ว่า “พอแค่นี้ก่อน” บางทีแค่พักแล้วกลับมาใหม่ เราจะทำได้ดีกว่าเดิมมาก

เกมสอนเรื่องนี้แบบเนียน ๆ ผ่านการกดปุ่มไม่กี่ปุ่มนี่แหละ


Assist Mode: ไม่ได้มีไว้ให้คน “อ่อน” แต่ให้ทุกคนได้เล่าเรื่องของตัวเอง

จุดที่โคตรน่ารักของ Celeste คือการมี Assist Mode

ในโหมดนี้เราเลือกได้ว่าอยากช่วยตัวเองแค่ไหน เช่น

  • ลดความเร็วเกมลง
  • เพิ่มจำนวนครั้งที่ดาชได้
  • ทำให้ตกหนามแล้วไม่ตายเลยก็ยังได้

ทีมพัฒนาไม่ทำโหมดนี้เพื่อบอกว่า

“เอ้า ใครไม่เก่งก็ไปอยู่โหมดง่าย ๆ ซะ”

แต่เขาบอกตรง ๆ ว่า

“เราอยากให้ทุกคนมีโอกาสสัมผัสเรื่องราวนี้ ไม่ว่าทักษะการเล่นจะอยู่ระดับไหน”

มันเหมือนการบอกว่า

  • คนเรามีระดับ “ภูเขาในใจ” ไม่เท่ากัน
  • การจะปีนไปถึงยอดแต่ละคนเลยต้องใช้ “อุปกรณ์ช่วย” ต่างกัน
  • ไม่มีใครล้มเหลวที่ต้องขอความช่วยเหลือ

นี่เป็นเมสเสจที่สวยมาก ทั้งในเกมและในชีวิตจริง


เล่น Celeste แล้วได้อะไร (นอกจากความหัวร้อน)

นอกจากจอยสั่น มือสั่น และเสียง “เอ๊ะ เมื่อกี้กดแล้วนะ!” สิ่งที่เราได้จาก Celeste มีอีกเยอะ

  • ได้เห็นว่าความกลัวและความไม่มั่นใจ “ไม่ใช่ศัตรูที่ต้องฆ่าทิ้ง” แต่เป็นส่วนหนึ่งของเรา
  • ได้เรียนรู้ว่าการล้มเหลวซ้ำ ๆ ไม่ได้หมายความว่า “เราแย่” แต่หมายความว่าเรากำลังเรียนรู้ทีละจังหวะ
  • ได้ฝึกโฟกัสกับปัจจุบันแบบสุด ๆ เพราะถ้าคิดเรื่องเมื่อกี้หรือคิดข้ามไปห้องถัดไป เราจะกดพลาดห้องนี้ทันที

หลายคนบอกว่า หลังจากเล่นจบ พอกลับไปเจอเรื่องยากในชีวิตจริง เช่น

  • งานที่ทำผิดพลาด
  • ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นอย่างหวัง
  • ความรู้สึกว่า “เรายังไม่ดีพอ”

พอนึกถึง Celeste ก็จะมีเสียงหนึ่งในหัวบอกว่า

“ก็เหมือนด่านนั้นแหละ แรก ๆ มันดูเป็นไปไม่ได้ แต่พอลองทีละจังหวะ สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ไม่ใช่เหรอ”

และแค่นั้น บางวันมันก็ช่วยให้เราอยากลอง “เล่นอีกสักรอบ” ในชีวิตจริงเหมือนกัน


เหมาะกับใคร และอาจไม่ใช่ทางของใคร

เหมาะมาก ถ้าคุณ…

  • ชอบเกมแพลตฟอร์มแนวยากแต่แฟร์ สไตล์ Super Meat Boy, Hollow Knight (แต่ที่ผ่านมาแล้วนะ), Ori ฯลฯ
  • ชอบเนื้อเรื่องที่พูดเรื่องสุขภาพจิต ความกลัว ความไม่มั่นใจ แบบจริงใจ
  • อินกับงานภาพพิกเซล + เพลงเพราะ ๆ
  • ชอบความรู้สึก “ตายร้อยรอบ แต่ผ่านแล้วโคตรภูมิใจ”

อาจไม่ใช่ถ้าคุณ…

  • ไม่ชอบตายบ่อย ๆ ต่อด่าน
  • รู้สึกเหนื่อยกับเกมที่ต้องลองผิดลองถูกหลายรอบ
  • ไม่อินกับธีมด้านในจิตใจ อยากได้อะไรเบากว่านี้
  • ไม่อยากใช้จอย/คีย์บอร์ดแบบต้องละเอียดจังหวะเป๊ะ ๆ

แต่ถ้าในใจคุณมีเสียงหนึ่งบอกว่า “อยากลองท้าทายตัวเองดูสักที” Celeste คือสนามซ้อมใจที่ดีมาก สนามหนึ่งเลย


Tips มือใหม่ Celeste: เริ่มยังไงให้ไม่อยากโยนจอยทิ้ง

1. ตายเยอะ = ปกติ 100%
เกมนี้ออกแบบมาให้เราตายเป็นเรื่องธรรมดา อย่าเอาจำนวนครั้งที่ตายไปผูกกับ “คุณค่าของเรา” เลย มันแค่ตัวเลขบอกว่าเราเรียนรู้มามากแค่ไหนต่างหาก

2. มองหาจังหวะก่อนกดเพียว ๆ
ก่อนกระโดด ลองมองแผนที่ทั้งห้องก่อน 2–3 วิ วางแผนคร่าว ๆ ว่า

  • กระโดดจากตรงไหน
  • ดาชไปทิศไหน
  • เกาะผนังตรงไหน

พอมีภาพในหัวแล้วค่อยลอง ทำให้ลองผิดลองถูก “อย่างมีระบบ” มากขึ้น

3. ยังไม่ต้องเก็บสตรอว์เบอร์รี่ทุกลูกก็ได้
สตรอว์เบอร์รี่คือของท้าทายเสริม ไม่เก็บไม่เป็นไร ไม่ได้ทำให้ตอนจบแย่ลง เกมยังบอกเองเลยว่า “ไม่มีผลอะไรกับค่าเท่” คือเก็บเพราะอยากเก็บจริง ๆ เท่านั้น

4. ใช้ Assist Mode ถ้ารู้สึกว่ามันเริ่มไม่สนุกแล้ว
ถ้ารู้สึกว่าความยากเริ่มทำให้เราเครียดมากกว่าสนุก หรืออยากโฟกัสเนื้อเรื่อง ลองเปิดโหมดช่วยบางส่วน เช่น ลดสปีดเกม เพิ่มจำนวนดาช ให้ตัวเองได้หายใจบ้าง ไม่ถือว่าผิดกติกาอะไรเลย

5. เล่นทีละนิด แต่สม่ำเสมอ
แทนที่จะเล่นมาราธอนจนหัวมึน ลองเล่นวันละนิดแต่ไม่ทิ้งนานเกินไป เราจะรู้สึกถึง “การเก่งขึ้นทีละน้อย” ได้ชัดเจน แถมไม่เบื่อไปก่อน


FAQ: คำถามที่มักเจอเกี่ยวกับ Celeste เกมแพลตฟอร์มปีนเขาเอาชนะใจตัวเอง

Q: Celeste ยากแค่ไหน เทียบกับเกมอื่นยังไง?
A: ถ้าเทียบกับแพลตฟอร์มทั่วไป Celeste จัดว่ายาก แต่ไม่โหดโรคจิตสุดทางแบบบางเกม จุดสำคัญคือมันแฟร์และรีสตาร์ตเร็วมาก ถ้าคุณเคยเล่นเกมแนวนี้มาบ้าง จะรู้สึกว่า “ท้าทายแต่ไหว” และพอเปิด Assist Mode ก็ปรับได้ตามสบาย


Q: ถ้าเล่นไม่เก่งแต่สนใจเนื้อเรื่อง เล่นดีไหม?
A: เล่นได้ แนะนำมากด้วย แค่เปิด Assist Mode ให้เหมาะกับตัวเอง ลดความเร็วเกม หรือเพิ่มจำนวนดาช คุณยังได้สัมผัสเนื้อเรื่องเต็ม ๆ เหมือนเดิม เพราะเกมไม่ได้ลงโทษคนที่ใช้โหมดช่วยเลย


Q: เกมนี้ใช้เวลากี่ชั่วโมงถึงจะจบ?
A: ถ้าเล่นเรื่อย ๆ ไม่เก็บสตรอว์เบอร์รี่เยอะ เน้นเนื้อเรื่องหลัก ส่วนใหญ่จะจบในราว ๆ 6–10 ชั่วโมง แล้วแต่ฝีมือและความดันทุรัง ถ้าจะเก็บของพิเศษ B-Side, C-Side หรือเล่นโหมดท้าทาย อาจลากไปเป็นสิบ ๆ ชั่วโมงได้อีก


Q: มีภาษาไทยไหม? จะเข้าใจเนื้อเรื่องหรือเปล่า?
A: ณ ช่วงที่เกมออกดั้งเดิมรองรับภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่ภาษาในเกมไม่ได้ยากระดับปรัชญาหนักมาก เป็นบทสนทนาที่อบอุ่น อ่านง่าย ถ้าอ่านอังกฤษได้ระดับกลางจะตามทัน เนื้อหาหลัก ๆ แน่นอน


Q: เล่นบนอะไรดี PC, Console หรือมือถือ?
A: Celeste เล่นได้ดีบน PC และคอนโซล โดยเฉพาะถ้ามีจอย จะควบคุมดาชได้เนียนมาก บางเวอร์ชันมีบนอุปกรณ์พกพา แต่โดยรวมถือว่า “เล่นที่ไหนก็สนุก” ขอแค่มีอินพุตที่เราถนัดเป็นพอ


Q: เด็กเล่นได้ไหม มีเนื้อหารุนแรงหรือเปล่า?
A: ไม่มีความรุนแรงแบบเลือดสาด มีแค่การ “ตายแล้วเกิดใหม่” แบบพิกเซลน่ารัก ๆ ธีมหลักคือสุขภาพจิต ความวิตกกังวล และการจัดการตัวเอง เหมาะกับทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ส่วนเด็กเล็กมาก ๆ อาจยังไม่เข้าใจประเด็นลึก ๆ แต่ในแง่เกมเพลย์ก็ไม่ได้มีอะไรไม่เหมาะสม


Q: ถ้าเล่นจบแล้ว ยังมีอะไรให้ทำต่อไหม?
A: มีเพียบ! เกมมี B-Side (ด่านเวอร์ชันยากขึ้น) และท้าย ๆ ยังมี C-Side สำหรับสายโหดจัด นอกจากนี้ถ้าคุณเป็นสายเล่นเพื่อทำเวลา (speedrun) Celeste ก็เป็นหนึ่งในเกมยอดนิยมของสายนี้เลย


Q: เล่นแล้วเครียดไหม เพราะธีมสุขภาพจิตดูหนัก?
A: เกมแตะประเด็นจริงจัง แต่เล่าอย่างอ่อนโยน และให้ความหวังมากกว่ากดเราให้จมดิน บางฉากอาจจี้จุดบ้างถ้าคุณกำลังอยู่ในช่วงยากของชีวิต แต่โดยรวมแล้วโทนคือ “เข้าใจ–โอบรับ–ให้กำลังใจ” มากกว่า “ตอกย้ำความพัง”


บทส่งท้าย: ปีนเขาจบ แต่การปีนใจยังไม่จบ – Celeste เกมแพลตฟอร์มปีนเขาเอาชนะใจตัวเอง ในชีวิตจริงของเรา

พอเล่นจบแล้วมองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่า Celeste เกมแพลตฟอร์มปีนเขาเอาชนะใจตัวเอง ไม่ได้เป็นแค่เกมแพลตฟอร์มสนุก ๆ เรื่องหนึ่ง แต่มันคือการจำลอง “เวอร์ชันเข้มข้นของชีวิตประจำวันเรา”

  • เราตื่นมาเจอหน้าผาใหม่ทุกวัน
  • บางด่านดูยากเกินไปในตอนแรก แต่พอหายใจลึก ๆ ลองแบ่งเป็นทีละจังหวะ มันก็ผ่านได้
  • เราตายซ้ำตรงเดิมเพราะยังใช้วิธีเดิมอยู่ จนวันหนึ่งกล้าลองเปลี่ยนมุมกระโดด…แล้วทุกอย่างก็ง่ายขึ้นแบบงง ๆ

ในโลกจริง บางคนใช้เวลาว่างไต่เขาพิกเซล บางคนไปปีนผาจริง บางคนก็ไปลุ้นความมันส์ในแบบของตัวเองผ่านโลกกีฬา–ความบันเทิง เช่น เปิดแมตช์เชียร์ทีมโปรดหรือแวะไปส่องอัตราต่อรองบนเว็บที่คุ้นอย่าง ยูฟ่าเบท เพื่อให้หัวใจเต้นแรงขึ้นหน่อยในวันธรรมดา สิ่งเหล่านี้ไม่ผิดเลย ตราบใดที่เรายังจับเข็มทิศชีวิตตัวเองไว้แน่น รู้ว่าเมื่อไหร่ควรลุย เมื่อไหร่ควรถอย และเมื่อไหร่ควรพัก

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่า “ภูเขาในใจ” ของเราจะหน้าตาแบบไหน สูงแค่ไหน หรือคนอื่นจะมองว่าเล็กหรือใหญ่ สิ่งสำคัญไม่ใช่การปีนแข่งกับใคร แต่คือการยอมรับว่าตอนนี้เรายืนอยู่ตรงไหน และยังอยากก้าวต่อไปอีกหนึ่งจังหวะไหม ถ้าวันหนึ่งคุณรู้สึกว่าตัวเองกำลังเหนื่อยกับโลก แต่ยังอยากลองเชื่อในตัวเองสักนิด ลองให้โอกาสตัวเองปีนไปกับมาดลีนใน Celeste เกมแพลตฟอร์มปีนเขาเอาชนะใจตัวเอง ดูสักรอบ บางทีตอนที่คุณไปถึงยอดเขา คุณอาจได้เจอเวอร์ชันของตัวเองที่อ่อนโยนและเข้มแข็งกว่าเดิมในเวลาเดียวกันก็ได้ 💗⛰️✨